ฟีเจอร์อื่นๆ
นอกจาก 4 หมวดหลักของโปรแกรมแล้ว Norton 360 ยังมีเครื่องมืออื่นๆ มาให้อีกไม่น้อยเลยครับ
เริ่มจาก Norton Tasks เป็นลูกผสมของ Task Manager กับ scheduler สำหรับรันฟีเจอร์ต่างๆ ของ Norton 360
ข้างบนเป็นกราฟแสดงโหลดของระบบ (ที่ผมชอบคือแสดงโหลดของโปรแกรม Norton 360 เป็นสีเหลืองควบคู่ไปด้วย เป็นการบอกว่า “ตูไม่ได้กินโหลดนะเว้ย” แบบอ้อมๆ) ส่วนข้างล่างเป็นตารางงานพวกแสกน, อัพเดตฐานข้อมูลไวรัส ฯลฯ ที่จะรันเวลาเครื่องไม่ถูกใช้งาน
Network Security Map วิเคราะห์ความเสี่ยงจากเครื่องที่อยู่ในวงแลนเดียวกัน อันนี้ก็ดูเข้าใจง่ายดีครับ
System Insight แสดงประวัติของระบบทั้งหมด ตั้งแต่ติดตั้ง Norton 360 ไม่ว่าจะเป็นประวัติการสแกนไวรัส การอัพเดตฐานข้อมูลไวรัส การแบ็คอัพ รวมไปถึงการติดตั้งโปรแกรมของเรา และความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้น
หน้าต่างนี้แสดงเป็นไอคอนพร้อม timeline แยกเป็นเดือนสวยงาม ดูง่ายดี (โดยเฉพาะเวลาที่มีปัญหา)
แต่ถ้าอยากดูข้อมูลแบบละเอียดก็มี log manager ให้ดูเช่นกัน
Norton 360 รองรับ Windows 7 เป็นอย่างดี มีฟีเจอร์เล็กๆ น้อยๆ อย่างพวก jump list ให้ด้วย
สรุป
ผมลองใช้งาน Norton 360 มาเกือบเดือน สามารถตอบคำถามที่ทุกคนสงสัยว่า “หน่วงไหม” ได้ว่า “ไม่หน่วงแล้วครับ” ยืนยัน ลืมภาพลักษณ์เดิมๆ ของ Norton ไปได้เลย
ในแง่ฟีเจอร์โดยรวม เท่าที่ว่ามาทั้งหมด ผมคิดว่า Norton 360 มีมาให้พร้อมสรรพไร้ข้อกังขา การทำงานระหว่างฟีเจอร์แต่ละอันนั้นประสานงานกันเป็นอย่างดี โดยรวมแล้วคิดว่า Symantec ทำได้ยอดเยี่ยมเลยล่ะ
ประเด็นอยู่ที่ว่า ผมสามารถใช้งานฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและการป้องกันไวรัสสำหรับระบบในลักษณะเดียวกัน ได้จากโปรแกรมฟรีในท้องตลาด เช่น
Microsoft Security Essentials สำหรับงานด้านความปลอดภัย (หรือโปรแกรมแอนตี้ไวรัสฟรีตัวอื่นก็ได้) Dropbox สำหรับการแบ็คอัพ (2GB เท่ากัน) CCleaner สำหรับการดูแลระบบได้อยู่แล้ว (ถ้าให้ประเมินก็ประมาณ 70% ของสิ่งที่ Norton 360 ทำได้) คำถามจึงไปอยู่ที่ว่า เราควรเสียเงิน 79.99 ดอลลาร์ ให้ Norton 360 หรือเปล่า?
คำตอบคงขึ้นกับปัจจัยของแต่ละคน คงฟันธงได้ยาก ผมพอสรุปเป็นแนวทางได้ว่า ถ้าเป็นลูกค้าองค์กรที่เน้นความปลอดภัยของข้อมูล และมีเงิน (บริษัท) จ่าย ควรซื้อ ส่วนผู้ใช้ตามบ้านทั่วไป ใช้ของฟรีคุ้มกว่า